ไขข้อข้องใจ การดื่มน้ำของเด็กเล็ก
หากคุณแม่แม่เคยมีคำถามเหล่านี้อยู่ในใจ
วันนี้มาหาคำตอบกัน
เด็กเล็กเริ่มดื่มน้ำได้เมื่อไร?
ดื่มน้ำเท่าไรถือว่าเพียงพอสำหรับเด็กเล็ก?

🍄0-6เดือนแรก🍄
คำแนะนำทางการแพทย์ในยุคสมัยนี้ ยืนยันตรงกันว่า ไม่จำเป็นต้องเสริมน้ำก่อนอายุ 6 เดือน ทั้งนี้เพราะปริมาณน้ำที่ได้จากนม ไม่ว่าจะเป็นนมแม่หรือนมชงนั้นเพียงพอต่อความต้องการของเด็ก 6 เดือนแรก
- เด็กนมแม่ ไม่จำเป็นต้องเสริมน้ำ เพราะในนมแม่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก ร่วมกับสารอาหารระดับสุดยอด และด้วยช่วงวัย 6 เดือนแรกเด็กทารกมีพฤติกรรมการทานนมอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ได้รับน้ำอยู่ตลอด และประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของนมแม่คือมีสารสำคัญที่ช่วยยับยั้งการเกิดแบคทีเรียในช่องปาก ดังนั้นหลังจากทานนมแม่แล้วไม่จำเป้นต้องทานน้ำตามเพื่อล้างปากแต่อย่างใด
- เด็กนมชง ได้รับน้ำจากปริมาณน้ำที่ใช้ชงนมอยู่แล้ว ซึ่งก็นับว่าเพียงพอเช่นเดียวกัน แต่อาจเพิ่มการจิบเพียงเล็กน้อยหลังทานนมชงเพื่อล้างคราบนม ลดการเกิดแบคทีเรียในช่องปาก
🍄เมื่อเริ่มอาหารหลัง6เดือน และวัย6-12เดือน🍄
วัย 6 เดือน วัยนี้เริ่มมีการใช้พลังงานมากขึ้น ทั้งมีความสามารถที่จะทำกิจกรรมต่างๆได้มากขึ้น เรียกว่า มีการขยับร่างกายกันมากกว่าวัยแบเบาะ ดังนั้นจึงเริ่มเสริมน้ำให้หลังจากมื้ออาหารที่เริ่มในช่วง6 เดือน
โดยหลังทานอาหาร คุณแม่ก็ให้ทานน้ำตามได้ หรือจะเพิ่มการจิบระหว่างวัน สำหรับปริมาณที่พอเหมาะนั้น ก็วัดโดยรวมว่าปริมาณน้ำที่ทานทั้งวันนั้นควรจะประมาณ 3-4 ออนซ์ ซึ่งก็เทียบเท่ากับว่าทดแทนน้ำจากมื้อนม ที่มื้ออาหารมาแทนที่นั้นเอง
🍄หลัง12เดือน🍄
วัยนี้เริ่มมีการใช้พลังงาน ขยับร่างกายตามความซุกซน อย่างเช่นเริ่มเดิม ไปจนโตหน่อยก็วิ่ง หรือการเล่นอื่นๆตลอดทั้งวัน ซึ่งทำให้ร่างกายมีการใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นและมีการเสียน้ำไปจากกิจกรรมที่ทำได้มากขึ้นตามวัย คุณแม่สามารถให้ทานน้ำได้ตามความต้องการของเด็กๆ ทั้งหลังมืออาหารและการจิบระหว่างวัน โดยรวมทั้งวันก็ประมาณ6-8ออนซ์ ถือเป้นแริมาณที่เหมาะสม ถ้าทั้งนี้ถ้าเป็นเด็กกิจกรรม มีการเสียเหงื่อมาก หรือในวันที่อากาศร้อน ก็สามารถทานน้ำเพิ่มได้เลยคะ ถึงจะทานน้ำมากยังไงเด็กๆที่สุขภาพดี ไตก็จะขับออกมาตามปกติ ไม่มีอะไรน่ากังวล ดื่มน้ำดีมีประโยชน์สุดๆ
หวังว่าข้อมูลนี้จะช่วยไขข้อข้องใจให้กับคุณแม่ๆสำหรับคำถามเกี่ยวกับเรื่องการเสริมน้ำของเด็กๆ
ติดตามข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมกันได้ที่ facebook fanpage อีกหนึ่งช่องทาง ตามลิงค์ด้านล่างเลยค่ะ
https://www.facebook.com/ManuDekMeeRuk